วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ถ้าไม่ตายก็กลายเป็นผัก! พิษร้ายติดเครื่องยนต์นอนในรถ

โดย ไทยรัฐออนไลน์ 24 ต.ค. 2558 


เป็นเรื่องน่าเศร้าที่กลายเป็นอุทาหรณ์ สำหรับ การเปิดแอร์นอนในรถแล้วเกิดควันพิษจากรถรั่วเข้าไปในห้องโดยสาร กระทั่ง สูดก๊าซพิษ เข้าไปในร่างกายกระทั่งเสียชีวิต เหตุที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเกิดขึ้นมาแล้วอย่างต่อเนื่อง และด้วยเหตุนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะตีแผ่สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเตือนใจผู้ใช้รถให้ระมัดระวัง เพราะผลของสูดก๊าซพิษนี้มีโอกาสรอดน้อยมาก...
ย้อนเหตุการณ์โศกนาฏกรรมบนหน้าหนังสือพิมพ์
เหตุการณ์ 2 แม่ลูก เสียชีวิตในพื้นที่ สน.โชคชัย ไม่ใช่เคสแรกที่เกิดขึ้น เพราะหากย้อนไป วันที่ 17 ก.พ.2542 บริเวณปั๊มแห่งหนึ่ง ริมถนนสายกระทิง-ระยอง ในรถปิกอัพยี่ห้อหนึ่งก็พบศพ 2 คือ นายเฉลิมพันธ์ สมงาม และ นางจุรีย์ สมงาม สามี-ภรรยา ซึ่งต่อมาทราบว่าฝ่ายชายเป็นพนักงานการบินไทย อายุ 30 ปี ส่วนภรรยาเป็นแอร์โฮสเตส ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าสาเหตุการเสียชีวิตเกิดมาจากสูดดมคาร์บอนมอนอกไซด์
1 ต.ค.50 เป็นกรณีรถแท็กซี่ จอดในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งย่านคลองหลวงแบบข้ามวันข้ามคืน ในที่เกิดเหตุพบรถแท็กซี่ สีเขียวเหลือง สภาพใหม่ ป้ายแดงทะเบียน ว-3927 ในรถพบผู้เสียชีวิต 2 ศพ ที่นั่งคนขับคือนายสมัยศักดิ์ เสาร์แก้ว อายุ 45 ปี พื้นเพชาวอุบลราชธานี ส่วนอีกรายคือ นางอุทัยวรรณ เตโพธิ์ อายุ 40 ปี ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่คาดว่า ทั้งคู่อาจจะเผลอหลับขณะติดเครื่องยนต์และเปิดแอร์ไว้ กระทั่งแก๊สหมด ระบบแบตเตอรี่ถูกตัด ทำให้ไม่มีอากาศหมุนเวียนในรถกระทั่งเสียชีวิต
8 ก.ย.51 เกิดเรื่องเศร้าอีกครั้ง เมื่อนายธวัช ทิตย์รัตน์ อายุ 40 ปี นายก อบต.นากอก เจ้าของรถปิกอัพยี่ห้อหนึ่ง ได้ลืม น้องฟิวส์ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ซึ่งเป็นลูกของเพื่อนบ้านไว้ในรถโดยจอดติดเครื่องไว้หน้าร้านขายของชำ จากนั้นก็เข้าไปประชุม กระทั่งเย็นก็ออกมาพบศพในสภาพนอนถอดเสื้อ ในมือขวากอดขวดน้ำดื่ม 3 ขวด สภาพศพน่าเวทนาเกินจะบรรยายได้ คาดว่าก่อนเสียชีวตต้องเจอกับสภาพร้อนจัดจนน้องได้ถอดเสื้อเอง กระทั่งขาดอากาศหายใจ
กูรูยานยนต์อธิบายสาเหตุใหลตาย
อ.พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ อธิบายถึงการเสียชีวิตจากการปิดกระจก เปิดแอร์นอนในรถว่า เวลาเครื่องยนต์ทำงานก็จะมีขยะออกมา ขยะดังกล่าวคือ "ไอเสีย" ซึ่งมีทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ส่วนที่มองไม่เห็นคือ คาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ และอื่น ๆ ส่วนก๊าซที่ทำให้คนตายก็คือ คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็น ก๊าซไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เป็นก๊าซที่ลอยขึ้นสูงตลอดเวลา
เวลาเครื่องยนต์ทำงาน ก๊าซเหล่านี้จะไหลออกมาตลอดเวลาจาก 2 ทาง คือ 1. ท่อไอเสีย 2.อาจจะลอยอยู่ในห้องเครื่อง ทั้งนี้ ห้องโดยสารของรถ หากมีรูรั่วมากก๊าซก็จะรั่วเข้าไปในตัวรถ ส่วนท่อไอเสียหากสังเกตดูก็จะทราบว่าท่อจะไม่ยื่นออกจากตัวรถมาก เห็นว่าจะยื่นออกมาเล็กน้อย 3-5 นิ้วเท่านั้น แล้วปลายจะงุ้มลงดินนิดๆ เวลาติดเครื่องเบาๆ ควันก็จะลอยอวนอยู่ใต้ท้องรถ ที่สำคัญ ก๊าซ สามารถแทรกซึมได้ดีกว่าน้ำ และสารชนิดอื่นๆ ประจวบกับก๊าซดังกล่าว อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางอื่น เช่น ด้านหน้ากระโปรงรถ หากช่องแอร์รั่วก็เข้าทางช่องแอร์ แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่เข้ามาทางช่องแอร์
ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ภัยเงียบคร่าชีวิต
มัจจุราชเงียบมาพร้อม 2 ปัจจัย
"พอเข้ามาในรถมากๆ คนที่หลับแล้ว ก็จะมีโอกาสตาย ที่เขาเรียกว่า "ใหลตาย" แต่การจะตายหรือไม่ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ 1.การเผาไหม้สมบูรณ์หรือไม่ ถ้าสมบูรณ์ เขม่า และไอเสียต่างๆ ก็จะมีน้อย 2.ถ้าห้องโดยสารมีรอยรั่วน้อย โอกาสควันเข้ามาก็น้อย ในทางทฤษฎี ผมไม่ได้บอกว่าข้อบกพร่องดังกล่าวขึ้นอยู่กับรถเก่าหรือใหม่ ถ้ารถเก่าแต่ผู้ใช้รักษาดี มีการเผาไหม้สมบูรณ์ อุดรูรั่วดี โอกาสเกิดก็น้อย แต่ในทางปฏิบัติเรื่องแบบนี้มีโอกาสเกิดขึ้นกับรถเก่ามากกว่า"
คนไทยบางส่วนใช้รถแบบมักง่าย โทษดวง ไม่หาสาเหตุข้อบกพร่อง
ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ กล่าวต่อว่า แท้จริงแล้วรถทุกคันมีรูรั่วที่ระดับอากาศเข้าได้ ทั้งนี้ เวลานำรถเข้าศูนย์ซ่อม ช่างก็จะไม่ได้ตรวจให้ ยกเว้นเสียแต่ว่าจะของรถจะอยากให้เช็ก เช่น เวลาขับรถแล้วมีกลิ่นจากภายนอกเข้ามา เรื่องแบบนี้ส่วนตัวคิดว่าคนไทยมีความตื่นตัวน้อยมาก บางทีขับรถแล้วได้กลิ่นเข้ามามากๆ ยังไม่นำรถไปซ่อมเลย
"เวลาเกิดอุบัติเหตุแล้ว คนไทยมักไม่คิดตามหลักวิทยาศาสตร์ หากคิดตามหลักวิทยาศาสตร์เราจะมุ่งหาสาเหตุว่ามันเกิดอะไร แต่...คนไทยมักจะคิดว่า "ดวงซวย" ทำไมเราโยนความผิดให้กับอะไรก็ไม่รู้ เพราะคิดแบบนี้ทำให้กระบวนการแก้ไขไม่บังเกิดผล" กูรูยานยนต์ กล่าวเตือนสติ
สถานที่จอดรถมีผลต่อการถูกลมก๊าซ
ถ้าเป็นที่อับลม ก๊าซไม่ถูกพัดไปที่ไหน มันก็จะดันเข้ามาในตัวรถ แต่ถ้าเป็นที่ลมโกรก โดนลมพัดมันก็เจือจาง แต่หากเราขับรถอยู่ รถติดกลางถนน ก๊าซพวกนี้ก็ยังมีอยู่ แต่จะมีผลมากตอนที่เราหลับเพราะเราไม่รู้ตัว แต่ถ้าอยู่ในรถหรือบนท้องถนน เราสูดก๊าซเข้าไปมาก ๆ เราจะรู้สึกอึดอัด เราอาจจะแก้ด้วยการเปิดประตูรถ ให้อากาศเข้ามา เพราะฉะนั้น หากเราเจอรถติดส่วนมากเราจะรู้สึกซึม ง่วงเหงาหาวนอน แต่ก็ไม่ทำให้ถึงตาย
ไขข้อข้องใจ ทำไมรถติดอยู่บนถนน คนขับถึงไม่เสียชีวิต
อ.พัฒนเดช อธิบายในเรื่องนี้ว่า กรณีปิดสนิทแบบว่าอากาศภายนอกและภายในเข้าและออกไม่ได้เลย แล้วรถวิ่งอยู่นั้น เมื่อเราหายใจเข้าเอาออกซิเจนเข้าไปและคลายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา เมื่อเราหายใจเข้าไปมากๆ เข้า ออกซิเจนก็เหลือน้อย เราก็จะเกิดอาการง่วง แต่เรื่องแบบนี้ผู้ที่ออกแบบรถเขารู้อยู่แล้ว หากสังเกตดูจะทราบว่ารถแพงๆ เขามีการออกแบบระบบตัดเอาอากาศภายนอกเข้ามา เช่น บางทีเรานั่งๆ อยู่ จะได้กลิ่นภายนอกเข้ามา แต่คนไทยมักอ้างว่าบ้านเราเมืองร้อนก็เลยไปปิดระบบนี้ อย่างไรก็ดี เวลาขับรถอยู่ หากมีอาการง่วงๆ เพลียๆ ก็มักจะจอดรถหรือเปิดอากาศให้เข้ามา ส่วนเวลารถติด ถามว่า คาร์บอนมอนอกไซด์ เข้ารถเราหรือไม่ คำตอบก็คือเข้า แต่หากว่ารถเคลื่อน ก๊าซที่อยู่ใต้รถก็จางไป อีกอย่างเรารู้ตัวอยู่ มันจึงทำให้ไม่ถึงตาย
ก๊าซพิษ...คาร์บอนมอนอกไซด์ เพชฌฆาตคร่าชีวิต
นพ.สมชาย แสงกิจพร ผอ.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ในเรื่องนี้ว่า ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ เกิดจากการสันดาป เผาไหม้ ซึ่งประกอบด้วย คาร์บอน และออกซิเจน ทั้งนี้ สารทุกอย่างที่เผาไหม้ได้จะต้องมีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบ และมีก๊าซออกซิเจนช่วยให้เกิดการเผาไหม้ การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จะทำให้เกิดคาร์บอนมอนอกไซด์ แต่ถ้าเผาไหม้สมบูรณ์ก็จะเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ คือ มีออกซิเจน 2 ตัว
ลักษณะพิเศษของ คาร์บอนมอนอกไซด์ คือ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เรามองไม่เห็นมัน แต่ที่จริงแล้วมันหนักกว่าอากาศ ถ้าอยู่ในที่ปิดทึบ เช่นในรถ หากมีคาร์บอนมอนอกไซด์มันจะเข้าไปทดแทนอากาศ เนื่องจากมันหนักกว่าอากาศ มันก็จะไล่อากาศออกไป เมื่อสูดดมเข้าไปมันจะเข้าไปจับกับเม็ดเลือดแดง ซึ่งเม็ดเลือดแดงจะเป็นตัวนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกาย โดยอวัยวะที่สำคัญที่สุด คือ สมอง หากสมองขาดออกซิเจน เพียง 3 นาที สมองก็ตายแล้ว
เวลาออกซิเจนจับกับเม็ดเลือดแดง เมื่อไปถึงอวัยวะสำคัญเม็ดเลือดแดงจะปล่อยออกซิเจนให้เนื้อเยื่อได้ใช้ จากนั้นร่างกายของเราก็ขับของเสียออกมา คือ คาร์บอนไดออกไซด์ เม็ดเลือดแดงก็จะนำพาออกมา โดยถูกขับออกมาทางปอด
ชาวบ้านเรียก ใหลตาย
ถ้ามีคาร์บอนมอนอกไซด์เข้ามาในร่างกาย มันก็จะจับกับเม็ดเลือดแดง แต่จับแล้วไม่ปล่อย เม็ดเลือดแดงก็จับออกซิเจนไม่ได้ เท่ากับร่างกายขาดออกซิเจน ถึงแม้จะมีเลือดแดงไหลเวียนแต่ก็นำออกซิเจนไม่ได้ สมองก็ขาดออกซิเจนจนหมดสติ พอสมองไม่ทำงานอีกไม่กี่นาทีหัวใจก็หยุดใต้จากนั้นก็จะเสียชีวิต
"ยกตัวอย่าง เช่น หากในพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยคาร์บอนมอนอกไซด์ เราเดินเข้าไปในพื้นที่นั้น ไม่เกิน 5 นาที ก็ตาย เพราะเม็ดเลือดแดงถูกคาร์บอนมอนอกไซด์จับหมด สิ่งแรกที่เกิดคือ "สมองไม่ทำงาน" จากนั้นร่างกายส่วนอื่นก็ค่อยๆ ตาย"
ตารางระดับเข้มข้น คาร์บอนมอนอกไซด์ ไม่ใช่ค่ามาตรฐาน!
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ สอบถาม ผอ.สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ ว่า มีตารางระดับความเข้มข้นที่มีการเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต เป็นจริงแค่ไหน...?
ที่เผยแพร่ในโลโซเชียลระบุว่า
ระดับความเข้มข้น 50 ppm ถึง 200 ppm อาการปวดศีรษะเล็กน้อยและอ่อนเพลีย
ระดับความเข้มข้น 200 ppm ถึง 400 ppm อาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรงและอาจถึงขั้นเป็นลม
ระดับความเข้มข้นประมาณ 1,200 ppm อาการ หัวใจเต้นเร็วขึ้นผิดปกติและเริ่มเต้นผิดจังหวะ
ระดับความเข้มข้นประมาณ 2,000 ppm อาการ อาจถึงขั้นหมดสติและอาจถึงเสียชีวิต
"ตารางดังกล่าวเป็นค่าถูกผสมในอากาศ ไม่ได้เป็นค่ามาตรฐาน เพราะการทดลองนี้ไม่สามารถทำได้ ส่วนอาการดังกล่าว จะขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนที่แข็งแรงไม่เท่ากัน เช่น ชายหนุ่มที่สุขภาพแข็งแรง เม็ดเลือดแดงดี ก็จะทนได้นานกว่า เด็ก หรือ คนชรา"
ทั้งนี้ ค่าวัดดังกล่าวเกิดจากการสังเกตเท่านั้น โดยผู้ที่วัดค่านี้เกิดจากนักผจญเพลิงเข้าไปในตัวอาคาร ค่าวัดที่ได้เท่านี้ เขารู้สึกเวียนหัว ค่าประมาณนี้ เขารู้สึกจะหมดสติ เป็นต้น
อ.พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ
ดับเครื่องยนต์ กระจกปิดสนิท ผลคือ ตายเหมือนกัน!
นอกจากนี้ นพ.สมชาย ยังกล่าวถึงกรณีรถปิดสนิทและไม่ได้สตาร์ตเครื่องแต่ปิดกระจก ว่า เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนคนอยู่ในกล่องเล็กๆ ออกซิเจนถูกใช้ไปเรื่อยๆ จนหมด ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เองก็จับเม็ดเลือดแดงเหมือนกัน แต่จับแล้วปล่อยบ้าง อย่างไรก็ตาม หากออกซิเจนมีต่ำกว่า 16% ร่างกายจะเริ่มเวียนศีรษะ ขณะเดียวกัน ร่างกายก็ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมาเรื่อย ๆ หากใช้ออกซิเจนหมด แม้เม็ดเลือดแดงจะนำออกซิเจนได้ แต่ภายในไม่มีออกซิเจนให้นำ ก็ตายอยู่ดี
โอกาสรอดน้อย หากไม่ตายอาจจะกลายเป็นผัก
นพ.สมชาย กล่าวต่อว่า หากเกิดเหตุการณ์คาร์บอนมอนอกไซด์รั่วเข้าตัวรถ ส่วนใหญ่จะทำการช่วยเหลือไม่ทัน เพราะแค่ 3 นาที ก็ทำให้เสียชีวิตได้ เรียกว่าโอกาสรอด "น้อยมาก" แต่ถ้าเขายังไม่ตายคือหายใจปกติ วิธีช่วยก็ง่ายมากคือการเปิดประตู ดับเครื่องยนต์ นำคนออกนอกรถ เช็กว่าเขายังหายใจอยู่หรือไม่ ถ้ายังหายใจปกติก็พยายามปลุกให้เขาตื่น หากเขาตื่นก็ถือว่า "รอด"
"แต่ถ้าหยุดหายใจก็ต้องใช้วิธีกู้ชีพตามขั้นตอน A B C คือ Airway เช็กทางเดินหายใจเปิดโล่งหรือไม่ มีลิ้นตกกันหลอดลมหรือไม่ เอามือล้วงปากดูว่ามีอะไรอุดกั้นหรือไม่ Breathing เช็กการหายใจ และ CAB ปั๊มหัวใจ แต่อย่างที่บอก ส่วนใหญ่ที่ประสบเหตุลักษณะนี้จะไม่รอด เพราะหากอากาศหมดภายใน 3 นาที สมองจะตาย สมมติว่ามีเหตุคนไข้สูดดมคาร์บอนมอนอกไซด์ไปครึ่งชั่วโมง สมองตาย แม้ร่างกายยังหายใจ หัวใจยังเต้นอยู่ เพราะร่างกายบางคนยังอึด แต่เมื่อนำร่างออกมา สมองก็ไม่ฟื้น เราจะเรียกอาการแบบนี้ว่าเหมือนผัก หรือ กลายเป็นเจ้าชายนิทรา"

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ข้อควรรู้เวลารถโดนชนท้าย !!

ข้อควรรู้เวลารถโดนชนท้าย !!!

ข้อเท็จจริง

เหตุเกิดที่ด่านตรวจบนถนน ซึ่งขณะนั้นมีรถกำลังชะลออยู่สามคัน โดยรถของบิดาผู้ร้องเป็นคันที่สาม แล้วมีรถเก๋งอีกคัน(คันที่สี่)ชนเข้าที่ท้ายรถของบิดาผู้ร้อง เป็นเหตุให้รถบิดาผู้ร้องไปชนรถคันที่สอง ส่วนรถคันที่สองก็ไปชนรถคันที่หนึ่ง ซึ่งมีผู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ด้วย จากการเจราเบื้องต้น เจ้าของรถคันที่สี่ไม่ยอมรับว่าตนเองชนอีกทั้งยังบอกว่า รถทั้งสามคันชันกันอยู่ก่อนแล้ว ขณะนี้รถทั้งหมดอยู่ที่โรงพัก รถคันที่สามของบิดาได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
ประเด็นคำถาม
1.ควรจะจัดการอย่างไรกับรถคนที่สี่ที่มาชน
2.รถคันที่หนึ่งและสองต้องเรียกค่าเสียหายจากรถคันใด
3.กรณีรถทั้งสามคันถูกชนท้าย แต่ได้รับความเสียหายทั้งตัวเครื่องด้านหน้าด้วย แต่เจ้าของรถยนต์คันที่สี่บอกจะชนใช้ค่าเสียหายแค่ส่วนท้ายที่ตนเป็นคนชน เราสามารถเรียกร้องค่าเสียหายทั้งหมดได้หรือไม่ รวมทั้งจะเรียกค่ารักษาพยาบาลสำหรับมารดาที่นั่งรถไปกับบิดาในขณะเกิดเหตุด้วยได้หรือไม่
ประเด็นคำตอบ
ข้อกฎหมาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420
ประเด็นที่ 1 ที่ 2 เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ในขณะเกิดเหตุแล้ว บริเวณนั้นเป็นด่านตรวจซึ่งตามภาวะวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ขับขี่แล้วต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นด้วยการลดความเร็วของรถ  การที่รถทั้งสามคันได้ชะลอความเร็วเนื่องจากขับมาถึงด่านตรวจย่อมถือได้ว่าเป็นการใช้ความระมัดระวังในการขับขี่แล้ว  แต่การที่รถคันที่สี่มาชนท้าย หากขับมาด้วยความเร็วแล้วไม่ใช้ความระมัดระวังตามภาวะวิสัยและพฤติการณ์ ซึ่งหากรถคันที่สี่อาจชะลอความเร็วได้ แต่ไม่ใช้ความระมัดระวังชะลอความเร็ว ย่อมเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อรถทั้งสามคันที่อยู่ด้านหน้า เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากความประมาทเลินเล่อของรถคันที่สี่
ประเด็นที่ 3 เมื่อรถยนต์คนที่ 4 ประมาทเลินเล่อแล้ว ผู้ขับรถยนต์คันที่ 4 จึงต้องรับผิดในความเสียหายทั้งหมดซึ่งเป็นค่าซ่อมรถทั้งสามคัน ส่วนค่ารักษาพยาบาลสำหรับมารดาผู้ร้องนั้น ผู้ขับขี่รถยนต์คนที่ 4 ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายด้วยเช่นกันเพราะเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทของตน


▶️▶️▶️กดติดตามช่องตรงนี้เลย http://bit.ly/SubscribeTEWAWIJIT
-------------------------------------

🧡อยากรวยต้องขายประกันภัยรถยนต์
รายได้เป็นแสนต่อเดือนโดยไม่ต้องลงทุน
❤️เปลี่ยนจากคนซื้อมาเป็นคนขายลดรายจ่ายสร้างรายได้ทันที

✌งานเสริม ทำออนไลน์ ไม่กระทบงานประจำ
🙋อิสระ  เป็นนายตัวเอง มือถือเครื่องเดียวก็ทำได้

🏃งานอื่นวิ่งไล่ลูกค้า
🔥งานนี้ลูกค้าวิ่งหาเราเอง

#สมัครขายประกันภัยรถยนต์
สมัครขายประกันวินาศภัยทุกชนิด
สมัครง่ายไม่ต้องมีคนค้ำประกัน อิสระไม่บังคับยอด

สนใจอยากมีบัตรนายหน้า
ขั้นตอน สอบบัตรนายหน้าประกันวินาศภัย(ใบอนุญาต)
รวมความรู้ ข้อสอบ  และการสมัคร กับ คปภ.

📱สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
อีเมลล์ am37851@gmail.com 
หรือ Line id: pw95
โทร. 088-3330075

แอดไลน์คลิ๊ก https://line.me/ti/p/~pw95

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วิธีประหยัดน้ำมัน ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มเงินในกระเป๋า

วิธีประหยัดน้ำมัน ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มเงินในกระเป๋า


  


    สมัย นี้อะไร ๆ ก็ต้องประหยัดไปซะหมด เพราะค่ากินค่าใช้จ่ายแพงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่ค่าน้ำมัน ที่เป็นตัวทำเรากระเป๋าแห้งจนกรอบอยู่ทุกเดือน จนแทบจะไม่มีเงินเหลืออกไปเที่ยวบ้างเลย
 
        และ ถ้าคุณไม่อยากให้ค่าน้ำมันมาเบียดเบียเงินในกระเป๋าอีกต่อไป ก็ลองมาอ่านวิธีประหยัดน้ำมันที่รวบรวมมาฝากกันเลยดีกว่า รับรองว่าเป็นวิธีง่าย ๆ ทำได้ทุกคน แถมยังประหยัดกว่าเดิมแน่นอน
 
    1. เลิกเร่งเครื่องหนีไฟแดง
 
       ไม่ ต้องมาอ้างเลยว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน การที่คนอื่นเขาทำไม่ได้แปลว่าคุณควรจะผสมโรงหนีไฟแดงกับเขาด้วยซะหน่อย ในเมื่อไฟเหลืองมันแปลว่าให้ชะลอเตรียมจอดเมื่อมีไฟแดง ใช่ว่าให้เตรียมตัวเร่งเครื่องหนีไฟแดงซะที่ไหน เพราะฉะนั้นหันมาเคารพกฎจราจรกันบ้าง และประหยัดน้ำมันไปในตัว ด้วยการชะลอตอนไฟเหลืองและหยุดรถตอนไฟแดงดีกว่านะ

    2. ไม่เบรกกะทันหัน

       การ เบรกกะทันหันนอกจากจะส่งผลให้รถยนต์ของคุณสึกหรอเร็วขึ้นแล้ว ยังเปลืองน้ำมันกว่าเดิมเสียเปล่า ๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องขับรถเร็วประหนึ่งตัวเองหลุดมาจากหนังรถซิ่งสักเรื่อง แล้วพอถึงที่หมายก็เบรกกระแทกซะจนคนในรถเกือบหน้าหงายซะอย่างนั้นหรอก แต่ขับให้มันเร็วพอประมาณแล้วชะลอก่อนจอดก็พอแล้ว จะได้ไม่เผลอขับเร็วเกินจนเลยที่หมาย ต้องวนกลับมาใหม่ด้วยยังไงล่ะ

    3. ขับด้วยความเร็วพอประมาณ
 
       จริง อยู่ว่าการขับรถเร็วจะช่วยให้คุณถึงที่หมายได้เร็วขึ้นอีกเยอะ แต่มันก็เป็นการเปลืองค่าแก๊สหรือน้ำมันด้วยเหมือนกัน แถมยังเสี่ยงกับการฝ่าฝืนกฎจราจรจนต้องมาเสียค่าปรับให้เจ็บใจเล่นอีกต่าง หาก เพราะฉะนั้นพยายามใจเย็น ๆ เข้าไว้ และขับไปตามความเร็วที่กำหนดดีกว่านะครับ
 
    4. เลี่ยงการออกจากบ้านในชั่วโมงเร่งด่วน
 
       ใน เมื่อรู้ตัวว่ามีธุระต้องไปทำ และคุณเองก็รู้ดีว่าประเทศไทยของเราโดยเฉพาะในเมืองเนี่ย รถมันติดขนาดไหน ก็เลี่ยงการออกจากบ้านในชั่วโมงเร่งด่วนกันหน่อยดีกว่า เพราะสภาพรถติดที่ทำให้คุณต้องคอยขับยึกยักไปทีละนิด ไม่ได้แค่น่าหงุดหงิดเท่านั้น แต่ยังเปลืองน้ำมันอีกด้วย ดังนั้นเอาเวลาที่คุณโอ้เอ้ไม่ยอมลุกจากเตียงตอนเช้า มาเตรียมตัวออกจากบ้านให้เร็วขึ้นแทนกันดีกว่า



   
 


6. รถต้องเบาอยู่เสมอ
 
       การ ที่รถน้ำหนักมาก จะทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมากขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้เปลืองน้ำมันยิ่งขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นของที่ไม่จำเป็นก็โละ ๆ ออกไปจากรถบ้างเถอะ รถจะได้ไม่ทำงานหนักจนเสียเร็วและเป็นการประหยัดน้ำมันด้วย

    7. หลังคารถต้องโล่ง
 
       หลังคา รถที่ต้องแบกสัมภาระหนัก ๆ ที่คุณมัดเอาไว้ด้วย จะทำให้รถต้องรับน้ำหนักมากขึ้น จนสึกหรอเร็วขึ้น แถมยังทำงานลำบากจนเปลืองน้ำมันยิ่งกว่าเดิมอีกต่างหาก ดังนั้นศึกษาข้อมูลด้วยไว้หลังคารถของคุณแบกน้ำหนักได้สักเท่าไหร่ หรือหากเลี่ยงได้ถ้าจะให้ดี ก็ไม่ควรเอาของหนัก ๆ ไปไว้บนนั้นเลยดีกว่า

    8. ไม่ต้องเปิดแอร์เย็นจัด
 
       รู้ หรือไม่ว่าการทำงานของเครื่องปรับอากาศในรถยนต์เนี่ย มันดึงพลังงานเชื้อเพลิงจากน้ำมันที่คุณไปใช้มากถึง 10 - 20 เปอร์เซนต์เชียวนะ รู้แบบนี้แล้วก็ไม่ต้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำทั้งวันขนาดนั้นก็ได้ เอาให้มีลมเย็น ๆ หน่อยก็พอแล้ว หรือช่วงหน้าหนาวอาจเลือกปิดแอร์ไปเลย แล้วเปิดกระจกรถให้ลมเข้ามาบ้างแทนก็ได้นะ

    9. อย่าสตาร์ทรถทิ้งไว้
 
       หลาย ๆ คนอาจชอบแวะจอดรถโดยสตาร์ทรถทิ้งเอาไว้ เพราะกลัวว่ารถจะร้อนหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งคุณควรรู้ไว้ว่าการทำแบบนั้นมันเปลืองน้ำมันสุด ๆ ไปเลยล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น หากเปิดแอร์ ไฟหน้า และเครื่องเสียงไปพร้อม ๆ กันด้วย ก็จะกินน้ำมันมากถึง 10% เลยทีเดียว

    10. ระวังเท้าหน่อย
 
       เชื่อ เลยว่าคงมีคนขับรถไม่น้อย ที่มักชอบพักเท้าซ้ายไว้บนแป้นเบรก แต่คุณรู้หรือไม่ว่าเพียงแค่นั้นก็มากพอจะทำให้คุณต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่ม ขึ้นแล้ว เพราะมันจะทำให้รถเกิดแรงลากดันจนต้องเผาผลาญพลังงานมากขึ้นอีก แถมยังทำให้เบรกของคุณเสียเร็วขึ้นอีกต่างหาก

รู้ไหมห้องโดยสารรถยนต์ที่สกปรก ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ

รู้ไหมห้องโดยสารรถยนต์ที่สกปรก ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ



ห้องโดยสารสกปรก ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพนะ (ยานยนต์)

          ห้องโดยสารรถยนต์เมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ย่อมต้องมีสิ่งสกปรกเกิดขึ้น ทั้งบริเวณเบาะนั่ง คอนโซล แพงประตู ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และเป็นหน้าที่โดยปกติเช่นกันที่เจ้าของรถจะต้องทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ

          แต่ถึงกระนั้นผู้ที่ใช้รถทุกวันจะให้มานั่งเช็ดถูทำความสะอาดอยู่บ่อย ๆ ก็คงไม่มีเวลา (บางท่านนาน ๆ กว่าจะล้างรถสักที) หรือแม้แต่พฤติกรรมของคนที่ไม่ใส่ใจรักษาความสะอาดปล่อยให้ฝุ่นจับหนาหรือมี กลิ่นอับ ท่านเหล่านั้น จะทราบหรือไม่ว่า...สิ่งสกปรกที่สัมผัสหรือที่เห็นอยู่รอบตัวในห้องโดยสาร สามารถส่งผลเสียต่อสุภาพของผู้โดยสารมากกว่าที่คิด

          สิ่งสกปรกที่จะอยู่ในห้องโดยสารหลัก ๆ แล้วก็คือ "ฝุ่น" เกิดขึ้นได้ง่ายจากการเล็ดลอดมาทางระบบปรับอากาศ หรือแค่เพียงเปิดประตู หน้าต่าง ด้วยขนาดที่เล็กมาก ๆ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ฝุ่นจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห้องโดยสาร และเจ้าฝุ่นที่ว่านี้ ไม่ได้มาแค่เพียงหนึ่งเดียว ยังพาเพื่อนตัวน้อย ๆ ติดสอยห้อยตามมาด้วย ท่านทั้งหลายพอจะเดาออกมั้ยครับว่าฝุ่นมากับใคร? ถ้ายังคิดไม่ออก บอกให้เลยก็ได้ว่า มากับ "ไรฝุ่น" ไงครับ...!!!
 


"ไรฝุ่น" มันคืออะไร? ใช่แล้ว มันคือสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ดูจากชื่อแล้วไม่น่าจะมีพิษสงอะไร แต่ที่ไหนได้ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ มันคือของแสลงที่สุด ไรฝุ่นเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เป็นสัตว์จำพวกแมลงแต่มีลักษณะคล้ายกับแมงมุมเห็บ หมัด มีขา 8 ขา ขนาดของไรฝุ่นจะวัดได้ 1 ส่วน 100 ของความยาวที่เป็นนิ้ว ซึ่งเทียบแล้วคือเล็กกว่าหัวปากกาลูกลื่นที่จุดลงบนกระดาษเสียอีก อาหารของไรฝุ่น คือ เซลล์ผิวหนังของคนและสัตว์เลี้ยงที่หลุดลอกออกมา

          ผิวหนังของคนนั้นโดยทั่วไปจะหลุดลอกวันละประมาณ 1.5 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอที่จะเลี้ยงตัวไรฝุ่นให้เจริญเติบได้เป็นอย่างดี นอกจากอาหารที่ได้จากคน ไรฝุ่นยังอาศัยพวกใยผ้าและขนสัตว์กินเป็นอาหารได้ด้วย ไรฝุ่นมีตา หายใจทางผิวหนัง ไรฝุ่นชอบอยู่ในที่อุ่น ขึ้น และเต็มไปด้วยฝุ่นละออง เช่น หมอนที่นอน พรม และเฟอร์นิเจอร์ผ้า เป็นสถานที่เหมาะที่สุดสำหรับครอบครัวไรฝุ่น

          ภายในห้องโดยสาร วัสดุที่ทำจากผ้าไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งกำมะหยี่ ผ้าบุแผงประตู เพดานห้องโดยสาร ฯลฯ จุดด่าง ๆ เหล่านี้ หากเราปล่อยให้มีสิ่งสกปรกสะสมมาก ๆ เช่น เส้นผม ขนสัตว์ เศษใบไม้ รถของเราก็จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อให้กับ "โรคภูมิแพ้" ไปโดยปริยาย

          โดยปกติแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์มีหน้าที่ที่จะจดจำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำร้าย ร่างกายของเรา เช่นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ฯลฯ โดยการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นต่อสู้กับเชื้อโรค สำหรับโรคภูมิแพ้นั้น เป็นภาวะที่ภูมิของร่างกายมีปฏิกิริยากับโปรตีนหรือสารก่อภูมิแพ้ Allergen จากสิ่งแวดล้อม

          ซึ่งปกติจะไม่มีอันตรายสำหรับผู้ที่ไม่แพ้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นโรคที่เกิดจาก "ปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้" ปฏิกิริยานี้เริ่มเมื่อเราได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็จะเกิดการสร้างภูมิที่เรียก ว่า IgE Antibody ตัว Antibody นี้จะกระตุ้น Mast Cell ให้มีการหลั่งสาร Histamin ขึ้นที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ผิวหนัง ปอด จมูก ลำไส้ ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะ เช่น ลมพิษที่ผิวหนัง คัดจมูกแน่นหน้าอกเนื่องจากหอบหืดบางรายอาจจะรุนแรงถึงกับเสียชีวิตได้ ซึ่งสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นตัวแสบอันดับต้น ๆ มีที่มาจาก "ไรฝุ่น" นั่นเอง

          สำหรับคำถามที่ว่า "ไรฝุ่นทำให้เกิดภูมิแพ้ได้อย่างไร ?" คำตอบคือ คนที่แพ้ไรฝุ่น หมายถึงคนที่มีปฏิกิริยาต่อโปรตีนในตัวและในมูลของไรฝุ่นที่ตายแล้ว โปรตีนดังกล่าวจะมีผลเสียต่อทางเดินหายใจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจอักเสบ และโรคหอบหืด อีกทั้งยังทำให้คนที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคผิวหนังอักเสบมีอาการของโรคมากขึ้น

          ซึ่งตัวไรฝุ่นที่ตายแล้วจะมีโปรตีนจำนวนมาก เมื่อเราสูดลมหายใจ หรือผิวหนังของเราสัมผัสกับตัวไรฝุ่นที่ตาย ร่างกายองเราก็จะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา ภูมิต้านทานนี้จะปล่อยสารเคมี ซึ่งทำให้เกิดการบวมและการระคายเคืองของทางเดินหายใจตอนต้น นั่นก็คืออาการของโรคทางเดินหายใจอักเสบ และโรคหอบหืด ที่สำคัญคือ โรคภูมิแพ้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อีกด้วย



          วิธีที่จะป้องกันไรฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง นอกเหนือจากการทำความสะอาดผิวสัมผัสต่าง ๆ ในห้องโดยสารแล้ว ยังต้องทำความสะอาดดูแลรักษาระบบปรับอากาศในรถยนต์ด้วย โดยเฉพาะตู้แอร์ ที่ใครหลายคนบอกว่า "มันคือแหล่งซ่องสุมเชื้อโรค" ไรฝุ่น เชื้อรา แบคทีเรีย ยุ่บยั่บไปหมด

          บริการคาร์แคร์ต่าง ๆ หรือร้านแอร์จึงต้องมีบริการล้างตู้แอร์และฆ่าเชื้อโรคเหล่นี้ ปีละ 1 ครั้งก็ยังดี เพราะฝุ่นจากภายนอกจะเข้ามาในระบบปรับอากาศทุกครั้งที่เปิดแอร์ เมื่อฝุ่นละอองมาเกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ลมก็จะพัดเอาฝุ่นเล็ก ๆ เข้ามาในตัวรถ ยิ่งนั่งอยู่ในรถนาน ๆ ก็ยิ่งสุดฝุ่นสะสมเข้าไปในร่างกายมากขึ้น รวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดกลิ่นอับ โรคภูมิแพ้หวัดเรื้อรัง

          เชื้อราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบความชื้นเป็นพิเศษ วันไหนรถเจอน้ำเจอฝน ลืมปิดกระจก รถมีรอยรั่วซึมจนน้ำเล็ดลอดเข้ามาสร้างความชื้นสะสมได้ หรือการขับรถลุยน้ำ ก็จะต้องโดนความชื้น และตามมาด้วยเชื้อราถ้าไม่รับทำความสะอาด

          การกำจัดเชื้อราสำหรับพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่ยากอะไร ไล่ความชื้นตากแดดปล่อยให้ลมโกรกหลังทำความสะอาด เท่านี้ก็ไล่เจ้าตัวร้ายไปได้ แต่ถ้าเป็นในห้องโดยสารรถยนต์ที่มีซอกมุม ต้องถอดรื้อออกมาทำความสะอาดกันยกใหญ่

          ยิ่งในกรณีของรถที่ได้รับความชื้นนาน ๆ อาจมีเชื้อราขึ้นตามเบาะ เพดานหลังคา พรมปูพื้น ช่องเก็บของท้ายรถ วัสดุหุ้มพวงมาลัย คอนโซล และที่มองไม่เห็นคือในระบบปรับอากาศ วิธีกำจัดเชื้อราในรถยนต์ที่จะนำมาบอกกล่าวกินในวันนี้ คือ การใช้น้ำส้มสายชูกลั่นชนิดใสไม่มีสี (อย่าใช้น้ำส้มสายชูกลั่นชนิดใสไม่มีสี (อย่าใช้น้ำส้มสายชูปลอม) ซึ่งมีกรดอะซิดิกหรือกรดน้ำส้มประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ นำมาใส่ในกระบอกฉีดพ่นละอองน้ำที่สะอาดจอดรถในที่โล่งห่างไกลคน และมีการระบายอากาศที่ดีเปิดประตูออกทั้งหมด



          ขณะทำความสะอาดให้สวมหน้ากากกันฝุ่นชนิดที่กรองสปอร์ของเชื้อรา ฉีดพ่นสเปรย์น้ำส้มสายชูไปตามบริเวณที่มีราขึ้นภายในรถ ฉีดให้ทั่วแล้วทิ้งไว้ ต้องระวังอย่าสูดดม หรือให้ปลิวเข้าตา ความเป็นกรดของน้ำส้มสายชูจะฆ่าเชื้อรา และจะระเหยหมดไปเองโดยไม่มีสารตกค้าง เมื่อระเหยหมดแล้วอาจฉีดสเปรย์ซ้ำอีกรอบเพื่อให้มั่นใจว่าฆ่าเชื้อราได้ อย่างสิ้นซาก!!! ถ้าเห็นว่ามีคราบเชื้อราที่ตายแล้วติดอยู่ตามพื้นผิวก็ใช้ผ้าชุบน้ำยาทำความ สะอาดเช็ดออกและทิ้งผ้านั้นไป ถ้าเป็นเผ้ากำมะหยี่อาจต้องใช้แปรงพลาสติคขัดและใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออก ควรสวมหน้ากากกันฝุ่นตลอดเวลา เพราะเศษซากของเชื้อราที่ตายแล้วถ้าหายใจเข้าไปก็อาจทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ ได้

          หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ช่วงแรกนี้ให้หมั่นตรวจสอบว่ามีความชื้น หรือเชื้อราเกิดขึ้นที่อื่นที่มองไม่เห็นหรือไม่ เพราะความชื้นจะค่อย ๆ ออกมา เชื้อราจะใช้เวลา 24-50 ชั่วโมงในการเจริญเติบโต ถ้าขึ้นอีกให้ทำซ้ำในวิธีการเดิม ในช่วงนี้อาจจะต้องนำรถไปจอดตากแดดเพื่อไล่ความชื้นอาจใช้ไดร์เป่าผมช่วย เป่าอีกแรง สำหรับการทำความสะอาดวัสดุที่ผิวแข็ง

          สุดท้ายสิ่งสกปรกในรถยนต์ ใช้ว่าจะมีเพียงแต่ตาเห็น! หรือมองไม่เห็นใช่จะหมายความว่าไม่มี ทางที่ดีป้องกันไว้ หมั่นทำความสะอาดภายในห้องโดยสาร อย่าให้ความสำคัญกับความสวยงามภายนอกเพียงอย่างเดียวเพราะมันอาจหมายความถึง โรคหรืออาการทรมานไม่มีที่สิ้นสุด

          ทั้งหมดที่ว่ามาหากขี้เกียจ ไม่มีอารมณ์ หรือไม่มีเวลา คงต้องพึ่งศูนย์บริการด้านคาร์แคร์แล้วล่ะครับ
 

วิธีเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนรถด้วยตัวเอง

วิธีเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนรถด้วยตัวเอง  

เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนให้รถของคุณไม่ยาก เพียงแค่ 11 ขั้นตอนง่าย ๆ คุณก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง การเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนด้วยตัวคุณเอง จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะเว็บไซต์วิกิฮาว ได้นำเสนอวิธีการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนใน 11 ขั้นตอนง่าย ๆ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้กับรถที่มีในปัดน้ำฝนที่กระจกหน้าแบบมาตรฐานได้ถึง 90% เลยทีเดียว โดยก่อนหน้านั้นคุณก็แค่ต้องไปเลือกซื้อใบปัดน้ำฝนให้ถูกขนาดตามหน่วยวัดที่ ความยาวเป็นนิ้วเท่านั้น


ขั้นตอนที่ 1. ถ้าใบปัดน้ำฝนของรถคุณสามารถจับยกขึ้นได้ตามปกติ สามารถข้ามไปดูต่อในขั้นตอนที่ 3 ได้เลย แต่ถ้าใบปัดน้ำฝนของคุณไม่สามารถยกขึ้นได้ คุณก็วางมันลงตามปกติ และเข้าไปในรถเพื่อบิดกุญแจรถไปยังตำแหน่งแรกหรือตำแหน่งที่ 2 จากนั้นก็เปิดการทำงานของใบปัดน้ำฝน รอจนใบปัดน้ำฝนของคุณถูกยกขึ้นมาทำมุม 45 องศาแล้วก็รีบดึงกุญแจรถออก เพื่อให้ใบปัดน้ำฝนหยุดค้างอยู่ในตำแหน่งนั้น ทีนี้คุณก็สามารถดึงใบปัดน้ำฝนขึ้นมาจากกระจกหน้ารถได้แล้ว


ขั้นตอนที่ 2. ในตอนนี้ เราจะเริ่มนำใบปัดน้ำฝนของเดิมออกกัน โดยให้คุณหมุนดึงส่วนล่างของใบปัดน้ำฝนออกมา


ขั้นตอนที่ 3. ดึงใบปัดน้ำฝนออกมาต่อ จนทำมุม 90 องศาจากแขนปัดน้ำฝน


ขั้นตอนที่ 4. ในตอนนี้คุณจะเห็นคลิปเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากกึ่งกลางของใบปัดน้ำฝน ให้คุณใช้นิ้วดึงคลิปนั่นลงมา พร้อม ๆ ดันใบปัดน้ำฝนลง และต้องใช้แรงดึงใบปัดน้ำฝนไว้เล็กน้อยเพื่อไม่ให้กระดิก


ขั้นตอนที่ 5. ดึงอีกด้านหนึ่งของใบปัดน้ำฝนลง เพื่อจะนำตะขอที่แขนปัดน้ำฝนออกจากใบปัดน้ำฝน


ขั้นตอนที่ 6. ในตอนนี้คุณจะสามารถนำใบปัดน้ำฝนออกจากแขนปัดน้ำฝนได้แล้ว


ขั้นตอนที่ 7. นำใบปัดน้ำฝนชิ้นใหม่ออกมาจากถุง


ขั้นตอนที่ 8. นำใบปัดน้ำฝนอันใหม่ไปสวมเข้าที่แขนปัดน้ำฝน โดยสอดตะขอที่แขนปัดน้ำฝนเข้าไปเพื่อที่จะเกี่ยวกับคลิปในใบปัดน้ำฝน


ขั้นตอนที่ 9. ดึงใบปัดน้ำฝนขึ้น จะทำให้ตะขอที่แขนปัดน้ำฝน เกี่ยวเข้ากับคลิปพอดี ซึ่งในขั้นตอนนี้ถ้าใช้ทั้ง 2 มือช่วยจะทำได้ง่ายมาก


ขั้นตอนที่ 10. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตะขอของแขนปัดน้ำฝน เกี่ยวเข้ากับคลิปของใบปัดน้ำฝนดีแล้ว ซึ่งส่วนปลายของแขนปัดน้ำฝนควรจะเข้าไปอยู่ในใบปัดน้ำฝนราว 1 เซนติเมตรตามภาพ และเมื่อคุณตรวจสอบดีแล้ว ให้หมุนดันใบปัดน้ำฝน ให้ด้านหลังของแขนปัดน้ำฝนอยู่ขนานกับใบปัดน้ำฝน หรือเป็นขั้นตอนตรงข้ามของขั้นตอนที่ 3


ขั้นตอนที่ 11. และขั้นตอนสุดท้ายก็คือ วางใบปัดน้ำฝนลงบนกระจกหน้ารถตามเดิม และหากใบปัดน้ำฝนของคุณยังคงค้างอยู่ที่ตำแหน่ง 45 องศา เพียงแค่คุณเปิดการใช้งานใบปัดน้ำฝน มันก็จะกลับมาอยู่ในสภาพปกติตามเดิม

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

อาหารลดน้ำหนัก อาหารลดความอ้วน อาหารลดน้ำหนักมื้อเย็น

อาหารลดน้ำหนัก อาหารลดความอ้วน อาหารลดน้ำหนักมื้อเย็น

 

     บทความสุขภาพได้สรรหาอาหารลดน้ำหนักมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านของเรา ซึ่งอาหารลดน้ำหนักเหล่านี้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ สามารถรับประทานเป็นมื้อเย็นหรือมื้อดึกได้เลย เพราะอาหารลดน้ำหนักทั้ง 18 ตัวนี้ เรียกว่าขึ้นชื่อเรื่องการลดน้ำหนัก ลดความอ้วนเลยทีเดียว โดยอาหารลดน้ำหนักจะมีคุณสมบัติที่สำคัญเฉพาะตัว โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นสารอาหารประเภทโปรตีนที่กินแล้วไปเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดไขมัน ผลไม้ที่มีสรรพคุณหรือคุณสมบัติพิเศษมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น เด่นทางด้านลดน้ำหนัก ทำให้สวยเปล่งปลั่ง ผักส่วนใหญ่จะไปเพิ่มกากใยให้กับระบบทางเดินอาหาร ทำให้ถ่ายคล่อง ลดโรคต่างๆ และยับยั้งการดูดซึมไขมันอีกด้วย เป็นยังไงกันบ้างครับ คงสงสัยแล้วใช่ไหมว่า อาหารลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ทั้ง 18 ตัวมีอะไรบ้าง ตามไปชมกันเลยครับ

 

อาหารลดน้ำหนัก

อาหารลดน้ำหนัก

 

อาหารลดน้ำหนักมื้อเย็น

 

1. อกไก่

 

     นิยมมากในหมู่คนเล่นกล้ามและลดความอ้วน เนื่องจากมีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ แต่ก็ควรระวังสำหรับหนังไก่อย่ากินเพราะมีไขมันอยู่มาก อกไก่อาจธรรมดาไป ลองเพิ่มเครื่องเทศลงไปด้วย จะทำให้น่ากินยิ่งขึ้น บวกกับการเล่นเวทสร้างกล้ามเนื้อจะทำให้กระบวนการเผาผลาญในร่างกายคุณสูงขึ้น

 

2. ไข่ขาว

 

     เราจะไม่พูดถึงไข่แดง ไข่แดงก็มีส่วนที่ดีของมันเอง ถ้าคุณต้องการลดความอ้วนต้องกินไข่ขาว ไข่ขาวเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ราคาถูก หาซื้อง่าย ทำอาหารกินง่าย ส่งผลดีต่อการลดความอ้วนและสร้างกล้ามเนื้อ กินไข่ขาว คุณจะได้รับประโยชน์จากโปรตีนโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับไข่แดง เมื่อไหร่ที่น้ำหนักคุณคงที่อยู่ตัวแล้วค่อยหันกลับมากินไข่แดงด้วย

 

3.  แอปเปิ้ล

 

     ขาดไม่ได้เลยสำหรับคนที่กำลังลดความอ้วน แอปเปิ้ล กินง่าย หาซื้อง่าย ราคาไม่แพง เมื่อคุณกินแอปเปิ้ลก่อนออกกำลังกาย คุณจะสามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น เพราะแอปเปิ้ลเต็มไปด้วยสารเควอซิทิน ที่ช่วยสร้างออกซิเจนในปอดให้เพิ่มขึ้น นอกจากจะช่วยทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น แอปเปิ้ลยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ช่วยดักไขมันในร่างกาย ช่วยให้อิ่มนานขึ้นเพราะแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารมาก ข้อดีของแอปเปิ้ลอีกอย่างคือ มีแคลอรี่ต่ำมาก

 

4.  ส้ม

 

     ส้มมีวิตามินซีสูงมากกินแล้วผิวสวยแน่นอน แต่ถ้าคุณกำลังลดความอ้วน คุณอาจจะกังวลกับปริมาณน้ำตาลในส้มซึ่งมีถึง 20 กรัม ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ส้ม 1 ผล มีแค่ 65 แคลอรี่ เท่านั้นเอง ไม่มีไขมันด้วย ข้อดีของการกินส้มเพื่อลดความอ้วนคือ ส้มเป็นผลไม้ที่มีน้ำเยอะและมีเส้นใยอาหารสูง ทำให้อิ่มทนนาน ไม่หิวง่าย เมื่อคุณไม่หิว ไม่กินจุกจิก น้ำหนักลดแน่นอน

 

5. มะเขือเทศ

 

     มันเป็นผลไม้หรือว่าผัก แล้วใครสน ทั้งหมดที่คุณต้องรู้ก็คือ มะเขือเทศมีสิ่งที่ดีต่อร่างกายทั้งระยะยาวและระยะสั้น ช่วยให้คุณลดความอ้วนได้ เพราะว่าเมื่อคุณกินมะเขือเทศเข้าไป คุณจะรู้สึกอิ่มนานไม่หิว ไม่กินของจุกจิก นอกจากจะช่วยลดความอ้วนแล้ว มะเขือเทศยังทำให้ผิวสวย มีสารไลโคพีนช่วยป้องกันมะเร็ง มีวิตามินซีสูงช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ ได้ดี เวลาเลือกซื้ออาหารก็อย่าลืมมะเขือเทศด้วยนะครับ

 

6. ถั่ว

 

     อาหารยอดฮิตในการลดความอ้วน ไม่ว่าคุณจะอ่านบทความจากไหน ซื้อแผนการอาหารลดความอ้วนจากกูรูท่านไหน ต้องมีถั่วอยู่ด้วยแน่นอน เหมาะมากที่จะกินถั่ว เช่น อัลมอนด์ วอลนัท เป็นอาหารว่างแทนขนมขบเขี้ยวที่ไม่เป็นประโยชน์ ถ้าคุณไม่ชอบกินถั่วเป็นอาหารว่างลอง สับๆ ให้ละเอียดแล้วโรยไว้บนอาหารจานหลักของคุณ คุณจะได้ทั้งโปรตีน และไขมันที่ดีจากถั่ว ช่วยลดความอ้วนและคอเลสเตอรอลในเลือด

 

7. มันเทศ 

 

     คนที่กำลังลดความอ้วนบางคน คิดว่าการกินมันเทศจะทำให้อ้วนเหมือนกินมันฝรั่งทอด ขอบอกเลยว่าคิดผิดมาก มันเทศถือเป็นสุดยอดอาหารลดความอ้วนเลยก็ว่าได้ เพราะมีแคลอรี่น้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณของมัน แถมมีไฟเบอร์สูงมาก ทำให้อิ่มเร็วและอิ่มๆนาน นอกจากจะมีไฟเบอร์สูงแล้ว มันเทศยังมี วิตามินเอสูงมาก ช่วยในการมองเห็น มีวิตามินซี ช่วยให้ผิวสวย มีโพแตสเซียมสูง ช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และที่ขาดไม่ได้คือ วิตามิน บี 6 ทำให้ร่างกายผลิตพลังงานจากอาหารได้มากขึ้น จำเป็นมากต่อการลดความอ้วน

 

8. เกรปฟรุต

 

     คนไทยอาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตาสักเท่าไหร่ ถึงหน้าตามันจะคล้ายส้ม แต่มันไม่ใช่ส้ม ว่ากันว่าเกรปฟรุตเป็นสุดยอดผลไม้ไดเอท ช่วยลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี มีการวิจัย ทดลอง สำหรับคนที่กินเกรปฟุตครึ่งผลตอนเช้าสามารถลดแคลอรี่ได้ถึง 150 แคลอรี่ต่อวัน และถ้าหาซื้อผลสดๆ ไม่ได้คุณยังสามารถซื้อน้ำผลไม้เกรปฟรุต ไว้ดื่มยามว่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการกินของว่าง กรุบกรอบๆ ที่ก่อให้เกิดการเพิ่มน้ำหนักตัว

 

9. เครื่องเทศ

 

     ไม่จำเป็นต้องกินอาหารจืดๆ น่าเบื่อ ตอนที่คุณพยายามลดความอ้วน นี้เป็นเวลาที่ดี ที่คุณจะได้ลองรสชาติอาหารจากหลายวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อาหารหลายอย่างมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน ตัวอย่างเช่น: เมล็ดมัสตาร์ดช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญ ขิงช่วยย่อยอาหาร โสมช่วยเพิ่มพลังงานให้คุณ และพริกดำช่วยเผาผลาญแคลอรี่และขมิ้นสามารถช่วยสลายไขมันได้

 

10. ข้าวโอ๊ต 

 

     คนไทยอาจจะไม่ชินกับการกินข้าวโอ๊ต แต่คนยุโรปนิยมกินข้าวโอ๊ตเป็นอาหารเช้ามานานแล้ว เพราะข้าวโอ๊ตมีคุณค่าทางอาหารมากโดยเฉพาะแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต มีเส้นใยทางอาหารสูงทำให้อิ่มนาน เมื่อคุณกินข้าวโอ๊ตลงไป เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ของข้าวโอ๊ตจะกลายเป็นเจลเกาะติดกับสารอาหารก่อนที่สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู้กระแสเลือด ทำให้ไขมันและสารอาหารอื่นๆ ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลให้คอเรสเตอรอลในเลือดลดลง เพราะฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่า กินข้าวโอ๊ตช่วยให้น้ำหนักลดแน่นอน

 

>>>ผลไม้เพื่อสุขภาพ<<<


อาหารลดความอ้วน

อาหารลดความอ้วน



11. สลัด Arugula

 

     นิยมใส่ในสลัด ผัก Arugula อุดมไปด้วยวิตามิน A และ C และมีแคลอรี่ต่ำ รสขมของ Arugula ช่วยกระตุ้นตับสำหรับการไหลของน้ำดีและระบบการย่อยอาหาร

 

12. ผลเบอร์รี่

 

     ผลเบอร์รี่ เช่น ราสเบอร์รี่และแบล็ก เป็นหนึ่งในผลไม้ ที่ดีที่สุดในการต่อต้านริ้วรอย มีเส้นใยสูง และยังเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระแต่มีราคาแพง แบล็คเบอร์รี่ 1 ถ้วยเล็กๆ สามารถให้ไฟเบอร์ถึง 10 กรัมเลยทีเดียว

 

13. ข้าวบาร์เลย์

     ข้าวบาร์เลย์จะช่วยลดคอเลสเตอรอลส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ จากการวิจัยของสวีเดนพบว่า หากคุณทานข้าวบาร์เลย์เป็นมื้อเช้าจะช่วยลดความอ้วนจากการทานอาหารมื้อต่อๆ ไปของวันได้ เพราะไฟเบอร์ชนิดละลายในน้ำที่มีอยู่มากในข้าวบาร์เลย์ ซึ่งต้องใช้เวลาในการย่อยหลายชั่วโมง คุณเลยจะรู้สึกอิ่มนานกว่ารับประทานข้าวทั่วไป

 

14. กล้วย 

 

     กล้วยเป็นอาหารที่ให้พลังงานเป็นอย่างดี เนื่องจากกล้วยอุดมด้วยวิตามินและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี 1 และบี 2 ที่ช่วยเร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ช่วยลดอาการตัวบวม มีใยอาหารช่วยในเรื่องของปัญหาท้องผูก โดยเฉพาะกล้วยหอม หากรับประทานแทนอาหารมื้อเช้าจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มท้อง

 

15. หน่อไม้ฝรั่ง

 

     นิยมใส่ในสลัด หรือนึ่ง เพื่อรับประทานร่วมกับผักอื่นๆและปลา หน่อไม้ฝรั่งเป็นแหล่งของเส้นใยโฟเลต วิตามิน C, E, K, B6 และแร่ธาตุอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีซาโปนิน ที่เชื่อว่าจะช่วยลดคอเลสเตอรอลและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

 

16. อะโวคาโด้

 

     ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในอะโวคาโด้จะช่วยเพื่อเผาผลาญไขมันอิ่มตัวในร่างกาย ซึ่งหมายความว่า มันจะช่วยกำจัดไขมันที่ไม่จำเป็นในร่างกายของคุณออกไป

 

17. มะละกอ


     มะละกอเป็นผลไม้ที่หาซื้อง่ายตามท้องตลาดแถมมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับสรรพคุณ ในมะละกอสุกนั้นจะมีไขมันน้อยมากจนเรียกว่าไม่มีเลยก็ได้และยังให้พลังงานไม่ถึงเกิน 50 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม ดังนั้นมะละกอจึงเป็นผลไม้ลดน้ำหนักอีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนนิยมรับประทาน

 

18. Asian greens

 

     ผักประเภทนี้ได้แก่ ผักบุ้งจีน คะน้า กวางตุ้ง ฮ่องเต้ ไดโตเกียว ทาห์ไช่ และผักโขม ผักใบเขียวนั้นจัดว่าเป็นอีกหนึ่งพืชสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคได้ด้วย มีสารต้านอนุมูลอิสระวิตามินซีและเบต้า-แคโรทีน ซึ่งร่างการจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอที่มีผลต่อการบำรุงสายตา เสริมสร้างสุขภาพผิวพรรณและต้านทานการติดเชื้อ

 

     เป็นไงบ้างครับกับอาหารลดน้ำหนัก 18 ตัวของเรา สามารถนำไปปรับใช้กับมื้อเย็นของคุณได้เลยนะครับ หากเรารับประทานอาหารลดน้ำหนักเหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมที่จะออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ยกเวทหรือคาดิโอก็ได้ครับ ดื่มน้ำวันละประมาณ 2 ลิตร และพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ น้ำหนักหรือความอ้วนก็ไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวอีกต่อไป ต่อไปบทความสุขภาพจะเสนออะไร คอยติดตามให้ได้นะครับ


▶️▶️▶️กดติดตามช่องตรงนี้เลย http://bit.ly/SubscribeTEWAWIJIT
-------------------------------------

🧡อยากรวยต้องขายประกันภัยรถยนต์
รายได้เป็นแสนต่อเดือนโดยไม่ต้องลงทุน
❤️เปลี่ยนจากคนซื้อมาเป็นคนขายลดรายจ่ายสร้างรายได้ทันที

✌งานเสริม ทำออนไลน์ ไม่กระทบงานประจำ
🙋อิสระ  เป็นนายตัวเอง มือถือเครื่องเดียวก็ทำได้

🏃งานอื่นวิ่งไล่ลูกค้า
🔥งานนี้ลูกค้าวิ่งหาเราเอง

#สมัครขายประกันภัยรถยนต์
สมัครขายประกันวินาศภัยทุกชนิด
สมัครง่ายไม่ต้องมีคนค้ำประกัน อิสระไม่บังคับยอด

สนใจอยากมีบัตรนายหน้า
ขั้นตอน สอบบัตรนายหน้าประกันวินาศภัย(ใบอนุญาต)
รวมความรู้ ข้อสอบ  และการสมัคร กับ คปภ.

📱สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
อีเมลล์ am37851@gmail.com 
หรือ Line id: pw95
โทร. 088-3330075
แอดไลน์คลิ๊ก https://line.me/ti/p/~pw95