วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

35 วิธีดูแลรถให้มีอายุการใช้งานยืนยาวนานขึ้น

35 วิธีดูแลรถให้มีอายุการใช้งานยืนยาวนานขึ้น


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

       รถดี ๆ ที่เราใช้เวลาเก็บเงินตั้งนานกว่าจะซื้อมาเนี่ย บางคนรักยิ่งกว่าแฟนซะอีกนะ ดังนั้นถ้าเกิดใช้ได้ไม่นานก็พัง คงน่าเสียดายแย่เลยใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นก่อนที่รถของคุณจะเสียทั้ง ๆ ที่ยังใช้ได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลองมาดูแลรถด้วยวิธีเหล่านี้กันดูเถอะ



      1. ในช่วงรันอิน ขณะที่ขับรถไปได้ 1,600 กิโลเมตรแรก จำกัดความเร็วให้อยู่ต่ำกว่า 88 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเอาไว้ หรือความเร็วตามที่แนะนำสำหรับรถแต่ละรุ่น

      2. หลีกเลี่ยงสิ่งของกระทบถูกรถ เพราะแม้แต่ลูกบอลพลาสติกเบา ๆ กระทบก็ทำให้เกิดรอยขนแมวได้

      3. อย่าเร่งเครื่องเวลาสตาร์ททันที โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศข้างนอกหนาวเย็น ทางที่ดีควรเร่งความเร็วหลังผ่านไปประมาณสัก 10 - 20 นาที

      4. พักเครื่องยนต์ด้วยการเลื่อนเกียร์ว่างให้อยู่ในตำแหน่งไฟสีแดง ไม่อย่างนั้นแม้จะไม่ได้ขับรถ ตัวเครื่องก็จะยังคงทำงานอยู่

      5. พยายามไม่ขับรถเร็วจนเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนหรือเย็นจัด

      6. หลีกเลี่ยงการหยุดรถกะทันหันที่จะทำให้ล้อสึกอย่างรวดเร็ว

      7. เวลาหมุนพวงมาลัย ไม่ควรหักไปทิศทางใดจนสุด

      8. หากรถติดอยู่ในพวกหลุมโคลนขนาดใหญ่จนเอาขึ้นมาลำบาก ควรเรียกช่างมาช่วยยกแทนที่จะพยายามเร่งเครื่องให้หลุดออกมา


 
       9. การพ่วงของอื่น ๆ ไว้กับกุญแจรถด้วย จะทำให้กุญแจรถหนักขึ้น บวกกับเวลาที่ขับ แรงสั่นสะเทือนก็จะยิ่งทำให้ช่องที่เสียบกุญแจรถรับภาระหนักขึ้นอีก จนชิ้นส่วนภายในสึกหรอได้ เพราะฉะนั้นเลือกเอาเครื่องประดับเล็ก ๆ ชิ้นเบา ๆ มาใช้ก็พอแล้ว

       10. หมั่นสังเกตหรือถ้าจะให้ดีก็ควรจดเอาไว้ด้วยว่าวัน ๆ น้ำมันของคุณหมดไปเท่าไหร่ และวันนี้ขับไปเป็นระยะทางเท่าไหร่ ถ้าน้ำมันหดหายจนผิดสังเกต จะได้ตามช่างมาดูสิ่งผิดปกติได้ทัน

       11. อย่าทิ้งรถไว้เฉย ๆ นานเกินไปจนเครื่องยนต์สึกกร่อนเสียหาย โดยเฉพาะแบตเตอรี่ที่ต้องถูกดึงไฟมาใช้อยู่เรื่อย ๆ แม้จะไม่ใช้ เพราะฉะนั้นคุณจึงควรสตาร์ทรถวอร์มเครื่องบ้าง

 
       12. ใช้ขาตั้งยกรถเป็นตัวค้ำเวลาจอด รถจะได้ไม่ต้องรับน้ำหนักมากเกินไป

       13. จอดรถในที่ร่ม เพื่อไม่ให้รถร้อน หรือจะเลือกใช้รถเป็นสีที่คายความร้อนเช่นสีสว่างเป็นมันเงาดูก็ได้
 
       14. ทำความสะอาดแผงหน้าปัดด้วยผ้าชุบน้ำพอหมาด และหมั่นดูดฝุ่นในรถเสมอ
 
       15. เคลือบเบาะหนังเพื่อให้รถดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ
 
       16. แก้ปัญหาไฟท้ายมีร่องรอยด้วยการเอาเทปซึ่งขายในร้านอุปกรณ์สำหรับรถมาติด ก่อนที่น้ำจากฝนจะรั่วซึมเข้ามาติดอยู่ภายใน
 
       17. ต่อให้เป็นรถที่ทนทานขนาดไหนก็ไม่ควรบรรทุกของหนักเกินไป ไม่ว่าจะเป็นที่ท้ายรถหรือมัดไว้บนหลังคาก็ตาม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วควรจุไม่เกิน 90 กิโลกรัม

       18. มองหาผ้ามาคลุมรถทุกครั้งตอนที่เก็บในโรงรถเพื่อรักษาสีให้ดูใหม่นาน ๆ
 
       19. สำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้รถบรรทุกของไปด้วย ควรใช้ผ้าหนา ๆ ปูสักชั้นก่อนใส่ของลงไปด้วย จะได้ไม่ขูดขีดโดนรถจนเป็นรอย


                                          
    
 
      20. เคลือบแว็กซ์อีกชั้นเพื่อถนอมสีรถให้ติดทนนานยิ่งขึ้น รวมทั้งกันรอยขูดขีดด้วย
  
       21. ตอนที่เติมลมยางรถ ลองสังเกตดูสิว่ามีความชื้นออกมาจากตัวปั๊มลมด้วยรึเปล่า ถ้ามีก็หยุดซะ เพราะหากมีความชื้นเข้าไปฝังตัวด้านในจะทำให้ล้อเสียหายได้

      22. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดล้อที่เหมาะสม และพยายามขยันใช้เป็นประจำ เพราะล้อต้องเจอสิ่งสกปรกบ่อยกว่าส่วนอื่น ๆ

      23. หยอดน้ำมันหล่อลื่นลงน๊อตล้อเพื่อกันความฝืดเคือง ให้เครื่องทำงานได้สะดวกมากขึ้น

      24. ระบบเบรกป้องกันล้อล็อกนั้นค่อนข้างไม่ถูกกับความชื้นเป็นพิเศษ มันจึงควรถูกเช็ดทำความสะอาดให้แห้ง และควนตรวจเช็คอย่างน้อยทุก ๆ 3 ปี
 
      25. เปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อย ๆ คราบตกตะกอนจะได้ไม่ฝังอยู่ภายใน

      26. คุณต้องทำความสะอาดฝาถังน้ำมันบางเช่นกัน เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกอุดตันอยู่ภายใน

      27. ตรวจเช็คแบตเตอรี่เป็นประจำ ถ้ามีรอยแตกร้าวควรเปลี่ยนทันที และควรทำความสะอาดด้วย
 
      28. เปลี่ยนหัวเทียนเมื่อคุณขับรถไปได้ 48,000 - 64,000 กิโลเมตร
 
      29. ใช้น้ำสะอาดเติมลงหม้อน้ำรถยนต์เท่านั้น เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกเข้าไปสะสม โดยผสมน้ำยาหล่อเย็นและน้ำเปล่าในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง

 


      30. ปูผ้าขนหนูไว้บนเบาะก่อนเอาที่นั่งเด็กมาวางทับ เพื่อกันรอยขีดข่วน
 
      31. กระปุกเก็บน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ต้องมีน้ำมันอยู่ในระดับพอดี และฝาปิดสนิทก่อนสตาร์ทเครื่องด้วย ไม่อย่างนั้นหากเจอความร้อนหลังเครื่องทำงานเข้าไป อาจยิ่งเพิ่มความดันจนทำให้น้ำมันล้นออกมาได้
 
      32. ควรเปลี่ยนสายพานราวลิ้นตามระยะเวลาที่แนะนำในคู่มือ
 
      33. หมั่นตรวจน้ำกลั่นแบตเตอรี่ไม่ให้อยู่ต่ำกว่าระดับที่ควร
 
      34. ถอดก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาเช็ดทำความสะอาดบ้าง
 
      35. ตรวจเช็ควาล์ว PCV หรือ Positive Crankcase Ventilation และเปลี่ยนหลังขับรถไปเป็นระยะทาง 48,000 กิโลเมตร
 
        นอกจากที่แนะนำมานี้ ก็ควรเอารถไปตรวจเช็คที่ศูนย์เป็นประจำด้วยนะครับ หากเกิดสิ่งผิดปกติอะไรขึ้นมา จะได้ให้มืออาชีพช่วยแก้ไขได้ทันยังไงล่ะ

ซ่อมห้าง vs ซ่อมอู่ แตกต่างกันอย่างไร?

ซ่อมห้าง vs ซ่อมอู่ แตกต่างกันอย่างไร?

สำหรับเพื่อนๆ ที่สงสัยเวลาทำประกันรถยนต์ว่าควรเลือกประกันที่ให้ซ่อมห้าง หรือ ซ่อมอู่ดี 
วันนี้โปรประกัน มี Infographic ข้อเปรียบเทียบระหว่าง ซ่อมห้าง กับ ซ่อมอู่ มาฝากครับ
สำหรับประกันซ่อมห้าง จะมีข้อได้เปรียบมากกว่าซ่อมอู่ในทุกด้านครับแต่ค่าเบี้ยประกันจะแพงกว่าเล็กน้อย
ส่วนประกันซ่อมอู่ ราคาจะประหยัดกว่า แต่ต้องอย่าลืมพิจารณาประกันที่มีอู่สาขาใกล้บ้าน หรือที่ทำงานด้วยนะครับ 
เวลานำรถเข้าไปเคลมจะได้เดินทางสะดวก 


''

▶️▶️▶️กดติดตามช่องตรงนี้เลย http://bit.ly/SubscribeTEWAWIJIT
-------------------------------------

🧡อยากรวยต้องขายประกันภัยรถยนต์
รายได้เป็นแสนต่อเดือนโดยไม่ต้องลงทุน
❤️เปลี่ยนจากคนซื้อมาเป็นคนขายลดรายจ่ายสร้างรายได้ทันที

✌งานเสริม ทำออนไลน์ ไม่กระทบงานประจำ
🙋อิสระ  เป็นนายตัวเอง มือถือเครื่องเดียวก็ทำได้

🏃งานอื่นวิ่งไล่ลูกค้า
🔥งานนี้ลูกค้าวิ่งหาเราเอง

#สมัครขายประกันภัยรถยนต์
สมัครขายประกันวินาศภัยทุกชนิด
สมัครง่ายไม่ต้องมีคนค้ำประกัน อิสระไม่บังคับยอด

สนใจอยากมีบัตรนายหน้า
ขั้นตอน สอบบัตรนายหน้าประกันวินาศภัย(ใบอนุญาต)
รวมความรู้ ข้อสอบ  และการสมัคร กับ คปภ.

📱สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
อีเมลล์ am37851@gmail.com 
หรือ Line id: pw95
โทร. 088-3330075
แอดไลน์คลิ๊ก https://line.me/ti/p/~pw95

ทำไมบริษัทประกันภัยต้องเรียกเก็บ ค่าเสียหายส่วนแรก Excess

ค่าเสียหายส่วนแรก (Excess และ Deductible)




เมื่อพูดถึงเรื่องการเคลมประกันภัยรถยนต์ คำถามที่มักเกิดขึ้นอยู่เสมอคือ เราต้องจ่ายเงินเพิ่มหรือไม่ สำหรับการแจ้งเคลมที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง

ในเรื่องนี้บริษัทประกันภัยทุกแห่งได้กำหนดหลักเกณฑ์การเรียกเก็บเงินที่เรียกว่า "ค่าเสียหายส่วนแรก" เอาไว้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันตามที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์เอาไว้ โดยเราจะมาทำความเข้าใจกันถึงวัตถุประสงค์ในการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในส่วนนี้กันก่อน เพื่อจะได้ทำความเข้าใจในรายละเอียดได้ง่ายขึ้น 

ค่าเสียหายส่วนแรก 
การเรียกเก็บค่าเสียหายส่วนแรกเกิดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันผู้ที่แจ้งเคลมโดยไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริง เพื่อหวังซ่อมรถกับบริษัทประกันภัย หรือผู้ที่ขับรถด้วยความประมาทหรือไม่ใช้ความระมัดระวังมากพอ เพราะคิดว่าหากเกิดความเสียหายขึ้นกับรถก็สามารถแจ้งเคลมกับบริษัทประกันภัยเพื่อซ่อมรถเมื่อใดก็ได้  ซึ่งเป็นค่านิยมและความเข้าใจที่ผิด โดยหากมีการกระทำในลักษณะนี้เกิดขึ้นมากๆ จะส่งผลให้ยอดค่าสินไหมของประกันภัยรถยนต์ทั้งระบบสูงขึ้น จนบริษัทประกันภัยต้องปรับอัตราเบี้ยให้สูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ผู้เอาประกันภัยส่วนใหญ่ต้องแบกรับภาระเบี้ยประกันภัยที่สูงขึ้น ซึ่งจะไม่เป็นธรรมกับผู้เอาประกันภัยรายอื่น 

ค่าเสียหายส่วนแรกแบ่งออกเป็น 
2 ประเภท ดังนี้

1) ค่าเสียหายส่วนแรกที่เป็นเงื่อนไขถูกกำหนดไว้ตายตัวสำหรับผู้เอาประกันภัยทุกราย หรือ ค่า "Excess" (อ่านว่า เอ็กเซส ไม่ใช่ แอ็คเซฟหรือแอคเซสตามที่หลายคนอ่านผิดเป็นค่าเสียหายที่ไม่ได้เกิดจากการชนหรือคว่ำ หรือชนแต่หาคู่กรณีไม่ได้ หรือเราไม่ได้ขับรถชนเอง แต่ไม่สามารถระบุรายละเอียดความเสียหายที่ชัดเจนพอที่จะให้บริษัทประกันไปไล่เบี้ยหาต้นเหตุจนพบตัวคู่กรณีที่ต้องรับผิดชอบได้ เราจะต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก  1,000 บาท ต่อเหตุการณ์สำหรับความเสียหายต่อตัวรถยนต์ของเรา เช่น 
        1. ถูกมุ่งร้าย กลั่นแกล้ง แล้วหาคู่กรณีไม่ได้ เช่น รถถูกขีดข่วน 
        2. ความเสียหายของพื้นผิวสีรถ  (ตัวรถและอุปกรณ์ในรถไม่เสียหายเช่น หินกระเด็นใส่ เฉี่ยวกิ่งไม้/สายไฟ/ลวดหนาม ขับรถตกหลุม ครูดพื้นถนน 
            เหยียบตะปูหรือของมีคมหรืออะไรที่ทำให้ยางฉีก ละอองสีปลิวมาโดน 
วัสดุหล่นมาโดน 
        3. ระบุสาเหตุที่ทำให้รถเสียหายไม่ได้ รวมถึงระบุวัน เวลา สถานที่เมื่อรถเกิดความสียหายที่ชัดเจนไม่ได้ เช่น กระจกรถแตก ถูกสัตว์กัดแทะหรือขีดข่วน
            ถูกวัสดุในตัวรถกระแทก
        4. ไถลตกข้างทางแต่ยังไม่พลิกคว่ำ 
        5. ชนกับพาหนะอื่นแต่แจ้งรายละเอียดคู่กรณีไม่ได้  

หรือสามารถอธิบายง่ายๆ คือ ถ้าไม่ต้องการจ่าย ต้องสามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นการชนแล้วทำให้เกิดความเสียหายถึงกับ บุบ แตก ร้าว หรือระบุเหตุความเสียที่ชัดเจนพอที่จะให้บริษัทประกันไปไล่เบี้ยหาต้นเหตุจนพบคนที่ต้องรับผิดชอบได้ เช่น 
        1. ชนกับพาหนะอื่นและแจ้งรายละเอียดคู่กรณีให้ได้   
        2. ชนกับที่ยึดแน่นตรึงตรากับพื้นดิน                 
            - 
เสา ประตู เสาไฟฟ้า กำแพง ป้ายจราจร                
            - 
ทรัพย์สินอื่นที่ยึดแน่นตรึงตรากับพื้นดิน 
        3. ชนต้นไม้ยืนต้น ขอบถนน ราวสะพาน 
        4. ชนกองดิน หรือชนหน้าผา 
        5. ชนคน สัตว์ 
        6. รถพลิกคว่ำ 

2) ค่าเสียหายส่วนแรกที่กำหนดขึ้นโดยผู้เอาประกันภัยเองหรือบริษัทประกันภัยโดยมีผลกับผู้เอาประกันภัยเฉพาะราย (ค่า "Deductible") คือ ความเสียหายส่วนแรกโดยสมัครใจ โดยเป็นการตกลงกันระหว่างบริษัทประกันภัยกับผู้เอาประกัน โดยบริษัทจะยินยอมลดเบี้ยประกันลงเท่ากับค่าเสียหายส่วนแรกที่เราสมัครใจจ่ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นในแต่ละครั้ง โดยการตกลงกับบริษัทประกันภัยว่า หากเกิดอุบัติเหตุเป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีคู่กรณีแต่ละครั้ง ผู้เอาประกันจะยินยอมจ่ายค่าเสียหายในส่วนแรกตามจำนวนที่กำหนดไว้ ซึ่งผู้เอาประกันเองก็จะได้สิทธิจ่ายเบี้ยประกันลดลงตามจำนวนที่กำหนดไว้เช่นกัน เช่น 

        เราทำประกันภัยกับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งโดยมีการกำหนดค่าเบี้ยไว้ที่ 18,000 บาท โดยตกลงกันให้กำหนดค่าเสียหายส่วนแรกไว้ในกรมธรรม์ 3,000 บาท เราก็จะได้ส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัย 3,000 บาท 
        ดังนั้นจะเหลือค่าเบี้ยที่เราต้องจ่ายจริง 15,000 บาท ต่อมาหากเกิดอุบัติเหตุและเราเป็นฝ่ายผิดหรือไม่สามารถแจ้งคู่กรณีได้ เมื่อบริษัทประเมินความเสียหายของรถเราแล้ว อยู่ที่ 10,000 บาท ดังนั้น เราต้องจ่าย "ค่าเสียหายส่วนแรก" เป็นจำนวนเงิน 3,000 บาท ตามที่ได้ทำข้อตกลงไว้ในกรมธรรม์ ส่วนค่าเสียหายที่เหลืออีก 7,000 บาท บริษัทประกันภัยจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบ แต่หากความเสียหายไม่เกิน 3,000 บาท ผู้เอาประกันก็จะเป็นผู้รับเองตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง

จะเห็นได้ว่าการกำหนดค่าเสียหายส่วนแรกนั้น มีทั้งประโยชน์คือการได้ส่วนลดค่าเบี้ย และมีโทษคือหากเกิดความเสียหายขึ้น ผู้เอาประกันก็มีความรับผิดชอบในค่าเสียหายส่วนแรกที่กำหนดนั้น เงื่อนไขนี้เป็นการกำหนดทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้เอาประกันภัย 
ดังนั้นก่อนที่จะตกลงทำสัญญาใดๆ ที่จะมีผลผูกพันตัวเรานั้น เราควรศึกษาข้อสัญญาและเงื่อนไขต่างๆ ในกรมธรรม์ให้เข้าใจก่อนตกลงทำสัญญา โดยเฉพาะสัญญาประกันภัยที่นับวันจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเรามากขึ้นในชีวิตประจำวัน 



วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

ตัวแทนประกันภัยรถยนต์ ขายประกันรถยนต์ งานพิเศษ งานเสริม รายได้ดี

ตัวแทนประกันภัยรถยนต์ ขายประกันรถยนต์ งานพิเศษ งานเสริม รายได้ดี

** รับสมัครตัวแทนประกันภัยรถยนต์ ทำธุรกิจประกันวินาศภัย ครบวงจร รายได้ดี **



ขายประกันรถจะดีไหมถ้าคุณจะมีธุรกิจสักอย่างหนึ่งโดยคุณสามารถทำได้โดยไม่มีความเสี่ยง ไม่ว่าสินค้าจะมีราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ตาม สินค้าขายง่าย กฎหมายบังคับซื้อ สามารถทำเป็นธุรกิจได้ ทำเป็นรายได้หลัก รายได้เสริม รายได้พิเศษจากงานประจำ หรือต้องการซื้อใช้เองเพื่อลดค่าใช้จ่ายก็สุดคุ้ม ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ไม่จำกัดเพศ ทำมากได้มาก ไม่ทำเลยก็มีรายได้ มีเวลาอิสละเป็นนายตนเอง สร้างรายได้ไม่จำกัด ธุรกิจที่น่าสนใจนี้ก็คือ ธุรกิจประกันวินาศภัย ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ ประกันภัยรถยนต์ ประกันอัคคีภัย ประกันการเดินทาง ประกันสุขภาพ ประกันขนส่ง ประกันภัยเบ็ดเตล็ด ฯลฯ

ตัวแทนขายประกันรถหากท่านสนใจธุรกิจประกันวินาศภัย ผู้ช่วยในการทำธุรกิจนี้ให้กับท่านก็คือ บริษัท ศรีกรุงโบรคเกอร์ จำกัด เป็นบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยมืออาชีพ ที่มียอดขายอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย เปิดดำเนินกิจการมากกว่า 20 ปี ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า บริษัทประกันภัย และสมาชิกทั่วประเทศ ด้วยนโยบายการดำเนินธุรกิจแบบทันสมัยของผู้บริหารจึงได้นำเทคโนโยโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวก และให้บริการอย่างดีด้วยแนวคิด “เบี้ยถูก คุ้มครองดี บริการเยี่ยม” โดยมีบริษัทประกันภัย 32 บริษัทไว้บริการท่าน

รับตัวแทนขายประกันรถศรีกรุงโบรกเกอร์.blogspot.com เป็น 1 ในทีมงานศรีกรุงโบรคเกอร์ ที่มองเห็นโอกาสให้การทำธุรกิจประกันวินาศภัย ที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นทุก ๆ ปี เพราะภัยต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาไม่ว่า ภัยน้ำท่วม ไฟไหม้ ลมพายุ และปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น ดังนั้น ประชาชนจึงให้ความสำคัญและทำประกันภัยกันมากขึ้น ประกอบกับนโยบาย "รถคันแรก" ของ ภาครัฐ ทำให้โอกาสทำธุรกิจที่เกี่ยวกับรถยนต์สดใสมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจ "ขายประกันภัยรถยนต์"


การขายประกันภัยรถยนต์ประกันภัย..เป็นสินค้าขายง่ายทุกคนรู้จัก

การเป็นตัวแทนประกันภัยรถยนต์ประกันภัย..เป็นสินค้าที่ไม่ต้องแนะนำมาก

ขายประกันประกันภัย..เป็นสินค้าที่กฏหมายบังคับซื้อ(พรบ.รถยนต์)

ขายประกันรถยนต์ประกันภัย..เป็นสินค้าที่มีหลายหลายให้เลือกใช้บริการ

งานขายประกันรถยนต์ประกันภัย..เป็นสินค้าที่ใช้แล้วต้องซื้อซ้ำ

ตัวแทนกรุงเทพประกันภัยประกันภัย..เป็นธุรกิจที่ลงทุนต่ำ

ตัวแทนขายประกันประกันภัย..เป็นธุรกิจที่ผลตอบแทนสูง

ตัวแทนขายประกันภัยประกันภัย..เป็นธุรกิจที่ทำได้ทั่วประเทศ

ตัวแทนขายประกันภัยรถยนต์ประกันภัย..เป็นธุรกิจที่มีมูลค่าซื้อขายสูง
ตัวแทนขายประกันรถยนต์มี..บริการประกันภัยมากกว่า 30 บริษัทชั้นนำ

ตัวแทนจำหน่ายประกันภัยรถยนต์มี..ผ่อนดอกเบี้ย 0% สูงสุด 6 งวด ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

ตัวแทนนายหน้าประกันภัยมี..ระบบออกพรบ. ออนไลน์ได้เอง รับค่าคอมเพิ่ม 5%

ตัวแทนประกันภัยมี..การอบรมในการทำธุรกิจประกันภัย ฟรี!

ตัวแทนประกันภัยรถยนต์มี..การจัดส่งกรมธรรม์ทั่วประเทศ ฟรี!

ธุรกิจขายประกันรถยนต์มี..การให้ส่วนลด และ ผลตอบแทนสูง

รับตัวแทนประกันภัยรถยนต์มี..สร้างรายได้ หลายทาง

รับสมัครตัวแทนประกันภัยรถยนต์มี..ค่าแนะนำ และ ค่าบริหารทีมงาน

สมัครขายประกันภัยรถยนต์มี..รายได้เป็นมรดกตกถึงลูกหลานได้


สมัครตัวแทนประกันภัยรถยนต์สอบถามรายละเอียดได้ที่  คุณปิยะ  วิจิตร(ต้อม) Lineid: pw95 แอดไลน์คลิ๊ก http://line.me/ti/p/~pw95
    โทร : 088-333-0075    E-mail : am37851@gmail.com



สมัครตัวแทนประกันภัยรถยนต์กรอกสมัครออนไลน์คลิ๊กตรงนี้ได้เลย
สมัครเป็นตัวแทนขายประกันรถยนต์

อยากขายประกันรถยนต์ประกันภัยรถยนต์ ได้แก่ ประกันชั้น 1, ประกันชั้น 2, ประกันชั้น 3, ประกัน 2 พลัส, ประกัน 3 พลัส, พรบ.
ตัวแทนมิตรแท้ประกันภัยประกันรถมอเตอร์ไซต์ ประเภท 3 พลัสของเอเชียประกันภัย คุ้มครองกรณีรถชนรถ ซ่อมรถเราและรถคู่กรณี
ตัวแทนวิริยะประกันภัยประกันอัคคีภัย ได้แก่ บ้าน อาคารสำนักงาน ร้านค้า โรงงาน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นต้น
รับตัวแทนขายประกันรถประกันภัยเบ็ดเตล็ด ได้แก่ ประกันสถานีบริการน้ำมัน ประกันร้านทอง ประกันการก่อสร้าง ประกันสุขภาพ เป็นต้น
อยากเป็นตัวแทนประกันภัยรถยนต์รับทำงานทะเบียน ได้แก่ ต่อทะเบียน ต่อภาษี งานทะเบียนรถใหม่ รถเก่า เปลี่ยนเครื่อง เปลี่ยนสี ย้ายทะเบียน เป็นต้น
รับตัวแทนขายประกันรถยนต์
สมัครสมาชิกศรีกรุงโบรคเกอร์
รับสิทธิประโยชน์มากมายพร้อม เว็บไซต์ ฟรี

ให้เราติดต่อกลับ หรือ สร้างเว็บไซต์ฟรี
เพียงกรอกข้อมูลของคุณในแบบฟร์อมด่านล่างนี้
..